หลังจากที่เปิดบ้านถล่ม คริสตัล พาเลซ ไปในคืนอังคารด้วยสกอร์ที่ขาดลอยถึง 3-0 ก็ทำให้แฟนบอลอย่างเราๆ มั่นใจกันแน่นอนว่าเกมสุดสัปดาห์ก็จะสามารถย้ำชัยชนะที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้อีกครั้งเป็นแน่แท้

แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดกันไว้น่ะสิครับ กลับกลายเป็นแข้ง พาเลซ ที่สามารถบุกมายัดเยียดความปราชัยให้แก่ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยที่ประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมมาจากลูกยิงผีจับยัดของ โยอาคิม แอนเดอร์เซ่น ตั้งแต่ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของเกม

หากเป็นในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แฟนผีทั้งหลายแหล่ก็คงจะไม่หมดหวังกันง่ายๆ ลุ้นได้ยันวินาทีสุดท้ายของเกม แต่พอมาดูในยุคหลังๆ กลับท้อแท้เสียเหลือเกิน ไม่ต้องไปลุ้นช่วงท้ายเกมหรอกครับ เอาแค่พวกพี่ๆมีโอกาสยิงในเวลาปกติ ผมก็ดีใจกันแล้วครับ

จากสถิติในเกมล่าสุด ‘ปีศาจแดง’ ถือว่าเข้าขั้นห่วยในแง่ของการเข้าทำในพื้นที่สุดท้าย ในเกมนี้มีโอกาสสับไกไปทั้งหมด 19 ครั้ง ตรงกรอบเพียงแค่ 4 ครั้งเท่านั้น นอกจากนี้ในเรื่องของลูกตั้งเตะก็แทบไม่ได้ลุ้นอะไรเลย ทั้งที่ได้โอกาสมากถึง 10 ครั้งจากลูกเตะมุม

ต่างจากทางด้านของ ‘ปราสาทเรือนแก้ว’ ที่จังหวะการเข้าทำของพวกเขาส่วนมากมาจากการเล่นลูกเซ็ทพีซ และสามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้อีกด้วย

แน่นอนแล้วว่าปัญหาของทีมในตอนนี้เป็นเรื่องของการเข้าทำในพื้นที่สุดท้าย ที่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูได้ ซึ่งตัวของ เอริก เทน ฮาก เองก็ได้ออกมายอมรับหลังเกมว่า ลูกทีมของเขาหลายคนไม่สามารถสร้างอิมแพ็คให้กับแนวรุกของทีมได้ รวมถึงคุณภาพในพื้นที่สุดท้ายก็ยังดีไม่พออีกด้วย

อีกหนึ่งจุดที่สามารถบ่งชึ้ให้เห็นถึงคุณภาพในแนวรุกว่ายังดีไม่พอก็คือดาวซัลโวของทีมในตอนนี้ กลับกลายเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับอย่าง คาเซมิโร่ ที่ยิงรวมทุกรายการไปแล้วถึง 4 ประตู แต่เมื่อไปมองดูตัวรุกคนอื่นๆกลับยิงกันได้แค่คนละประตูเดียวเท่านั้น ทั้งๆที่ลงเล่นกันจะถึง 10 เกมแล้วในซีซั่นนี้

หลังจากความพ่ายแพ้ในเกมเมื่อคืนวันเสาร์ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สถิติใหม่มาอีกแล้วครับ นั่นก็คือการแพ้ 4 จาก 7 เกมแรก กลายเป็นออกสตาร์ทฤดูกาลที่แย่ที่สุดของพวกเขาตั้งแต่ที่มี พรีเมียร์ลีก มาเลยครับ

นอกจากนี้ยังมีสถิติส่วนตัวของปู่รอย ฮอดจ์สัน อีกด้วยครับ ที่กลายเป็นกุนซือคนแรกที่พาทีมมาไม่แพ้ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ 5 นัดติดต่อกันเป็นคนแรก โดยที่ 3 เกมแรกเป็นการคุมทีม พาเลซ นี่แหละครับ ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2018 และนัดก่อนหน้านี่คือการคุม วัตฟอร์ด บุกมาเสมอแบบไร้สกอร์เมื่อต้นปี 2022

โปรแกรม 2 นัดถัดไปของพลพรรค ‘เร้ด เดวิลส์’ ก็ค่อนข้างโชคดีหน่อยที่ได้เล่นในบ้านทั้ง 2 นัดเลย ซึ่งจะเริ่มจากการลงเล่นใน แชมเปี้ยนส์ลีก เจอกับของแข็งอย่าง กาลาตาซาราย ก่อนที่จะกลับมาลงเล่นในเกมลีกเจอกับ เบรนท์ฟอร์ด

ตอนนี้แฟนบอลอย่างเราก็ได้แต่หวังอ่ะครับ หวังว่า เทน ฮาก จะหาจุดที่ลงตัวของทีมให้เจอ ทั้งในเรื่องแผนการเล่นและตัวผู้เล่น ซึ่งยังต้องหวังให้อย่ามีใครเจ็บเพิ่มอีกเลยครับ แค่นี้ทีมก็แย่จนไม่รู้จะยังไงแล้วครับ สาธุ…